เช็กสถานะ! รถไฟทางคู่-รถไฟสายใหม่ ปักธงปี 72 แจ้งเกิดทางคู่กว่า 3 พันกม.

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน ระยะ (เฟส) ที่ 1 จำนวน 7 เส้นทาง และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ 2 เส้นทาง มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่า รฟท. ได้ให้ความสำคัญในการกำกับ ติดตามดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่สามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนที่กำหนด

นายเอกรัช กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการช่วงชุมทางฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย และ 2. โครงการช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง และใกล้แล้วเสร็จ 3 โครงการ ซึ่งอยู่ในโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ระยะทาง 421 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 3.39 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการช่วงนครปฐม-หัวหิน สัญญาที่ 1 นครปฐม-หนองปลาไหล ระยะทาง 93 กิโลเมตร (กม.) ผลงาน 97.183% ส่วนสัญญาที่ 2 หนองปลาไหล-หัวหิน ระยะทาง 76 กม. ผลงาน 97.535%, 2. โครงการช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 84 กม. ผลงาน 99.999%

และ 3. โครงการช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร สัญญา 1 ประจวบคีรีขันธ์-บางสะพานน้อย ระยะทาง 88 กม. ผลงาน 93.510% สัญญา 2 บางสะพานน้อย-ชุมพร ระยะทาง 79 กม. ผลงาน 96.523% และส่วนงานระบบอาณัติสัญญาณสายใต้ ระยะทาง 420 กม. ผลงาน 48.147% ทั้งนี้ในภาพรวมของทั้ง 3 โครงการ ในส่วนของงานโยธาได้ดำเนินการใกล้เสร็จครบทั้งหมด และเริ่มมีการทดลองเปิดใช้ทางคู่ใหม่บางช่วง เพื่อทดสอบระบบทางแล้ว โดย รฟท. มีแผนเปิดใช้งานจริงช่วงเดือน ก.ย.66 เริ่มจากสถานีนครปฐม ถึงสถานีสะพลี อ.ปะทิว จ.ชุมพร ระยะทางประมาณ 400 กม. จากนั้นปลายเดือน ธ.ค. 66 จะขยายไปจนถึงปลายทางที่สถานีชุมพร ซึ่งจะดำเนินการคู่ขนานไปกับงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม และตั้งเป้าหมายจะเปิดใช้งานได้เต็มระบบภายในปี 68

นายเอกรัช กล่าวอีกว่า ขณะที่โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 2 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการรถไฟทางคู่สายเหนือ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ สัญญา 1 บ้านกลับ-โคกกะเทียม ระยะทาง 32 กมคำพูดจาก ทดลองเล่น. ผลงาน 86.67% สัญญา 2 ท่าแค-ปากน้ำโพ ระยะทาง 116 กม. ผลงาน 78.44% ส่วนงานระบบอาณัติสัญญาณ สายเหนือ ระยะทาง 148 กม. ผลงาน 32.160% และ 2. โครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สัญญา 1 มาบกะเบา-คลองขนานจิตร ระยะทาง 58 กม. ผลงาน 96.220% สัญญา 2 คลองขนานจิตร-ชุมทางถนนจิระ 1 ระยะทาง 69 กม. ยังไม่ได้ลงนามสัญญา และสัญญา 3 อุโมงค์รถไฟ ระยะทาง 5 กม. ผลงาน 98.137% ส่วนงานระบบอาณัติสัญญาณ ระยะทาง 132 กม. ผลงาน 21.560%

นายเอกรัช กล่าวด้วยว่า สำหรับโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ 2 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ 1. เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญา 1 ช่วงเด่นชัย-งาว ระยะทาง 103 กม. ผลงาน 0.934% สัญญา 2 ช่วงงาว-เชียงราย ระยะทาง 132 กม. ผลงาน 2.157% และสัญญา 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 87 กม. ผลงาน 1.485% และ2. บ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม สัญญา 1 ช่วงบ้านไผ่-หนองพอก ระยะทาง 180 กม. ผลงาน 0.112% และสัญญา 2 ช่วงหนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ระยะทาง 175 กม. ผลงาน 0.007%

นายเอกรัช กล่าวต่อว่า เมื่อการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทาง และเส้นทางสายใหม่ 2 เส้นทางแล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มสัดส่วนทางคู่ทั่วประเทศมากถึง 10 เท่า หรือคิดเป็น 65 % ของระยะทางรวมทั้งหมด มากกว่าเดิมที่มีทางคู่เพียง 6% อีกทั้งยังช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางได้ 1-1.50 ชั่วโมง รองรับปริมาณการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนสู่การขนส่งทางรางที่มีต้นทุนต่ำกว่า ตลอดจนเชื่อมโยงกับขนส่งกับประเทศเพื่อนบ้านได้ด้วย

นอกจากนี้ รฟท. ทำโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ เฟสที่ 2 เพิ่มเติมอีก 7 เส้นทาง ได้แก่ ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา และช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมจัดทำข้อมูล เพื่อรอเสนอขออนุมัติโครงการแล้ว ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ อยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล เพื่อเสนอขออนุมัติโครงการ รวมถึงกำลังทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) เช่นกัน

ทั้งนี้หากโครงการรถไฟทางคู่เฟสที่ 2 ดำเนินการแล้วเสร็จ จะทำให้ รฟท. มีรถไฟทางคู่ครอบคลุมการเดินทางได้มากกว่า 50 จังหวัดทั่วประเทศ มีเส้นทางคู่รวมกันมากกว่า 3,000 กม. ภายในปี 72 สามารถรองรับขบวนรถได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว สามารถทำความเร็วในการขนส่งสินค้าได้จากเดิม 29 กม./ชั่วโมง (ชม.) เป็น 60 กม./ชม. และทำความเร็วในการขนส่งผู้โดยสารเพิ่มจากเดิม 50 กม./ชมคำพูดจาก ทดลองเล่นสล็อตทุกค่ายไม่ต้องสมัคร. เป็น 100-120 กม./ชม. โดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งด้านโลจิสติกส์ได้มหาศาล อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางเสมอระดับรถไฟ-รถยนต์ ที่สำคัญรถไฟทางคู่ยังช่วยกระจายโอกาสทางสังคม การเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาคต่างๆ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย และพลิกโฉมการคมนาคมขนส่งของประเทศ ให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมของภูมิภาคอาเซียนได้ต่อไป.